วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

จะฆ่าไก่.......ใยต้องใช้มีดฆ่าโคด้วยเล่า

"จะฆ่าไก่.......ใยต้องใช้มีดฆ่าโคด้วยเล่า"

เป็นคำกล่าวระหว่าง ฮัวหยง กับ ตั๋งโต๊ะ ในคราวที่ขอออกรบกับกองทัพพันธมิตร

คราวนั้น ตั๋งโต๊ะ หมายจะเอาชัยรบกับ18 หัวเมืองกองทัพพันธมิตร โดยวางแผนจะให้ลิโป้ ขุนพลคนเก่งเทพแห่งสงคราม ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ออกรบเพื่อเอาชัยชนะเหนือกองทัพพันธมิตรภายใต้การนำของ อ้วนเสี้ยว
แต่ช่วงเวลานั้นมีนักรบระดับลูกไล่นาม  "ฮัวหยง"  ค้านว่าศัตรูมีกำลังเพียงเท่านี้ ไม่จำเป็นที่ต้องให้ลิโป้ออกศึก ด้วยประโยคที่ว่า

"ลำพังเพียงกองทหารอ้วนเสี้ยว หาได้ต้องหวั่นเกรงจนต้องใช้ยอดขุนพล ข้าพเจ้าขออาสานำกำลังออกรบแทนลิโป้  จะฆ่าไก่ ใยต้องใช้มีดฆ่าโคด้วยเล่า"

ซึ่งในการรบช่วงแรก ฮัวหยงก็ไม่ได้ทำให้ตั๋งโต๊ะผิดหวัง ฆ่าแม่ทัพนายกองฝ่าย18หัวเมืองโดยการนำของอ้วนเสี้ยวไปหลายคน ทำให้กองทัพระส่ำระสายอย่างหนัก
จนกระทั่งมีนักรบไร้ชื่อนาม "กวนอู" มาอาสาออกรบ ซึ่งกวนอูก็ถูกอ้วนเสี้ยวดูถูกอย่างมากเพราะตอนนั้นกวนอูเป็นเพียงพลเกาทัณฑ์

มีแต่เพียง โจโฉ ซึ่งเห็นกวนอูมีรูปร่างองอาจ มีความนับถืออยู่ในใจ บอกให้อ้วนเสี้ยวส่งกวนอูออกไปรบ เพราะถึงแพ้กลับมาก็ไม่เสียหาย

"โจโฉ" รินน้ำชายื่นให้กวนอูแสดงความนับถือ แต่กวนอูไม่รับ ขี่ม้าออกรบกับฮัวหยง ฆ่าฮัวหยงตายในดาบเดียว แล้วกลับมารับถ้วยน้าชาดื่ม ตอนที่ยังอุ่นอยู่

นี่คือที่มาของวลีที่ว่า"จะฆ่าไก่.......ใยต้องใช้มีดฆ่าโคด้วยเล่า"เป็นคำสอนสำหรับท่านผู้นำหรือนักปกครองทั้งหลาย ให้เลือกใช้คนให้เหมาะสมกับงาน ไม่ใช้คนดีมีฝีมือไปในทางที่ผิด

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

วัดรอยเท้า

50ใน100ส่วนวิชาความรู้ของพวกเอ็ง มีข้าเป็นคนสอน
ส่วนข้า50ใน100ส่วนของวิชาความรู้ ก็มีคนสอนเช่นกัน
ตรรกกะมันฟังดูง่ายๆ
แต่เอ็งว่ามันเท่ากันไหม...?
อย่าริ...วัดรอยเท้า

ทุรยุค

คนเก่ง คนดี คนทำงาน คนมีวิชาไม่ได้รับการอุ้มชู
นี่มันทุรยุคชัดๆ!

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

สักการะพระพุทธบาทวัดเขาดีสลัก

วัดเขาดีสลัก อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี








ทางขึ้นช่วงแรก มีต้นไม้ร่มรื่นสวยงาม เดินขึ้นแค่พอเมื่อย





ทางเดินขึ้นช่วงสอง เอาเป็นว่าเหนื่อยเลยละกัน
แต่ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งคุ้มกับที่เดินทางมา















ภาพให้ชมบนเขาดีสลัก

แต่ถ้ายังเหนื่อยไม่พอ ยังมีทางที่ต้องเหนื่อยเพิ่มอีก







นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ

จุดชมวิวบนยอดเขา






ไม่มีความรู้ในประวัติของพระพุทธบาทเขาดีสลัก จึงไม่ขอพูดถึง จะกล่าวเพียงโดยรวมว่าเป็นอีก1สถานที่ที่ควรไปสักการะพระพุทธบาท การเดินขึ้นเขาโดยรวมถือว่าเหนื่อยพอควร
ข้อแนะนำคือควรไปหน้าฝนหรือหนาว อากาศจะเย็นสบาย

posted from Bloggeroid

คำเตือน : การเดินขึ้นไปจนถึงพระพุทธบาทเหนื่อยมาก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถ้าร่างกายไม่พร้อม มีทางลาดยางให้ขับรถขึ้นไปได้ และหากจะเดินขึ้นเตรียมน้ำดื่มติดมือไปด้วย

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

น้อมรับคำสั่ง

ประสบการณ์จากการทำงานที่ผ่านมาได้สอนบทเรียนสำคัญอีก 1เรื่อง
ซึ่งผมจะสอนลูกน้องอยู่เสมอ คือการปฏิบัติตามคำสั่ง

ว่าให้ทำตามคำสั่งหรือแผนงานที่ให้โดยเคร่งครัด
เพราะถ้างานผิดพลาดมาหรือไม่สำเร็จ ก็ถือว่าได้ทำแล้ว และไม่ผิดต่อหน้าที่และไม่ผิดต่อผู้บังคับบัญชา

แต่ถ้างานผิดพลาดมาเพราะไม่ทำตามคำสั่ง มีแต่เสียและถูกด่า เพราะถือว่าผิดทั้งหน้าที่และผิดต่อคำสั่งผู้บังคับบัญชา

แม้ว่างานจะสำเร็จและลุล่วงโดยเกิดจากการไม่ทำตามสั่ง ผลก็แค่เสมอตัว

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

ม้าเสือก

เรื่องของ"ม้าเสือก"

โดยหน้าที่และอาชีพทนาย ตลอด12ปีผ่านของผม
ไม่เคยพ้นคำว่า "ทวงหนี้" และ "บังคับคดี"



และทุกครั้งหลังจากกระทำการบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยแล้ว สิ่งที่ต้องกระทำตามมา คือ การเจรจา ไม่ว่าจะเจรจาคุยกันดี หรือต้องขึ้นน้ำเสียงถึงขั้นทะเลาะ
และแน่นอนในการเจรจาหนี้หลายครั้ง ฝ่ายตรงข้ามมักมี"ม้าใช้"ซึ่งต้องมักคิดว่าตนเก๋าพอตัว หรือแน่มีวิชาพอที่จะมาลองดีเจรจาต่อลองหนี้ เหมือนต่อลองสินค้าในตลาดแทนลูกหนี้



แต่คำว่า"ม้าใช้"สำหรับฝ่ายตรงข้ามนั้น ฝ่ายผมมักจะมองว่าเป็น"ม้าเสือก"เพราะมันจะพยายามเก่งทุกอย่าง บางทีก็หาเรื่องหาราวทั้งที่ตัว"ม้าเสือก"เองไม่ได้จ่ายหนี้แทนใครแน่ๆ และหลายครั้งก็กลับเป็นผลร้ายกับฝ่าย"ม้าเสือก"เอง ซึ่งแน่นอนคุยมาดีก็ตีสีหน้าดีไป แต่มาร้ายก็ต้องโดนดี



***คดีนี้กว่าจะยึดทรัพย์จำเลยได้ล่วงเวลากว่า10ปี จำเลยหรือลูกหนี้สิ้นชีพไปตั้งแต่ปี51 คดีจะพ้นระยะเวลาบังคับคดีในอีกไม่กี่วัน พอถูกยึดทรัพย์"ม้าเสือก"รีบรุดเข้ามาทันที
ฝ่ายเราต้อนรับอย่างดี ด้วยต้องตั้งรับในที่ตั้ง หลังบุกทะลวงฟันยึดที่ดินปลอดจำนอง ราคาที่ดินสองล้านกว่าเป็นตัวประกัน

แต่ฝ่าย"ม้าเสือก"เข้ามาก็เจรจากดดันเจ้าของคดีด้วยน้ำเสียง ระดับเบสที่หนักแน่น และถ้อยคำวาจา สั่งปลาเก๋าอยากพบผู้มีอำนาจเหนือกฎหมาย (คือมันจะไม่เอาหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเกณฑ์ แต่อยากชำระตามอำเภอน้ำใจ)

ฝ่ายทนายเจ้าของคดี ยังทนแรงเสียดทานไม่ได้ ด้วยด้อยอาวุโส จึงร้องหาตัวช่วย
เจ้าของคดี : พี่ครับ คือลูกค้าจะขอแต่เข้าคุยผู้ใหญ่ไม่ให้เกียรติผมเลย พยายามชี้แจงแล้วก็ไม่ฟัง (คือมันคุยเสียงดังข่มมา20กว่านาทีแล้ว)
ผม : ไปพาลูกค้ามาหาผม ( ยังยิ้มสนุกอยู่ )

หลังจากไปพาลูกค้าสองคนเข้ามา แล้วยกมือไหว้สวัสดีก่อน ส่วนเจ้าของคดี2คน แอบนั่งคุมเชิง
ผมเปิดเกมส์ลุกใส่"ม้าเสือก" ก่อนทันที ตามนิสัย

ผม : สวัสดีครับ คุณพี่สองคนเป็นใคร? (หน้านิ่งสนิท)
ม้าเสือก : แจ้งเป็นพี่สาวและพี่เขยจำเลย (ทำสีหน้าข่มด้วยเห็นผมเป็นผู้เยาว์)
ผม : ผมหมายถึงคุณพี่สองคนเกี่ยวข้องยังไงในคดี (คือมึงมาเสือกเนี่ยมึงมีชื่อเป็นจำเลยไหม)
ม้าเสือก : ก็เป็นพี่สาวกับพี่เขยไง (เสียงดังพร้อมทำหน้าฉงน)
ผม : แล้วไง ? จำเลยมอบอำนาจมาเหรอ (เสียงเข้มข่ม เพราะรู้ว่าจำเลยตายไปหลายปีแล้ว มึงไม่มีหรอกหนังสือมอบอำนาจ ดังนั้นอย่ามาเสียงดัง)
ม้าเสือก : ก็มาคุยแทนหลานๆ และก็น้องสะใภ้ (หลานๆก็คือทายาทผู้รับมรดกแต่เสียงอ่อนลงไปในลำคอแล้ว)
ผม : แล้วยังไง ? แล้วทำไมทายาท3คน ไม่มาคุยเอง (คือไอ้เด็กทายาท3คน อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่จะข่มไอ้ม้าเสือกนี่ล่ะ ว่ามึงเสือกอยู่ อย่าริเสียงดัง)

คราวนี้ล่ะ"ม้าเสือก"คงรู้ตัวแล้วว่าผมพร้อมที่จะเชิญออก น้ำเสียงอ่อนลงทันที เพราะรู้ตัวแล้วว่าเป็น"ม้าเสือก" รีบนับญาติเป็นพี่เป็นเชื้อขึ้นมาทันที

บทสรุปของคดีนี้ : จากยอดหนี้ที่อนุโลมลดหย่อนให้บางส่วนแล้ว เลยต้องเก็บเพิ่มมาอีก (ค่าผมทำเสียงเข้ม) และจากที่จะช่วยดำเนินการต่างๆให้ หลังจ่ายหนี้เสร็จ เลยให้ไปทำเองซะให้เข็ด (ค่าทำให้ลูกน้องผมตกใจ)

นี่ล่ะ!ผลกรรมของการใช้"ม้าเสือก"ผิดกาละและเทศะ


ส่วนนี่คือ"ม้าเฉียว"1ใน5ขุนพลพยัคฆ์แห่งจ๊กก๊ก

posted from Bloggeroid