วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

"ท่าหมื่นราม" พื้นที่นี้มีความหลัง

"ท่าหมื่นราม" พื้นที่นี้มีความหลัง

10 ปีก่อน ตอนนั้นผมอายุ23 ผมมีคู่หูอยู่คนนึง มันอายุแก่กว่าผมเกือบ2ปี ชื่อทนายที

ทนายแจ็คและทนายทีคู่หู ต่างออกแสวงหาความรู้และความก้าวหน้า ร่วมกันทำงาน จนมาถึงพื้นที่นี้ ต.ท่าหมื่นราม อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
สมัยนั้นถึงแม้ผมเป็นเด็กพิโลกโดยกำเนิด แต่ก็ไม่เคยย่ำมาถึงแถวนี้ เพราะด้วยถนนหนทาง การเดินทาง รถราที่ไม่ได้มีกันทุกบ้าน และความเจริญในสมัยนั้น

ผมกับทนายที ออกตามงานจนมาถึงที่นี้ ออกจากตัวเมืองพิโลกเกือบ40 กม. สอบถามเส้นทางตามหาจำเลยในคดีนี้มาตลอดทาง (สมัยนั้นยังไม่มี GPS. โทรศัพท์ที่ใช้ก็เพียงโทรเข้า-ออก ได้เท่านั้น) จนมาถึงทางเข้าตำบลนี้ซึ่งยังเป็นทางลูกรัง บอกได้เลยว่ากันดารมาก  ขับรถเข้ามามีแต่ฝุ่นสีแดงคลุ้งตลอดทางเป็น10กว่ากิโล ยังไม่เจอบ้านผู้คน เวลาก็จนเย็น ขับรถมุ่งหน้าเข้าหาภูเขาอย่างเดียว จนผมต้องเอ่ยปากถามทนายทีมันว่า ไหวกันป่าวว่ะพี่ ไกลฉิบหาย

คือผมคนพิโลกแท้ๆ รู้ดีว่ามันไกลมากจริงๆในสมัยนั้น แต่ทนายทีมันใจสู้อยู่แล้ว ก็มุ่งกันตามหาจนพบตัวจำเลย ยังจำได้คดีนี้จำเลยที่1เป็นนายทหารยศสิบเอก ส่วนจำเลยที่2เป็นแม่ อายุ70กว่าปลายๆ ณ.ตอนนั้น ซึ่งอยู่ ณ.ที่นี้ "ท่าหมื่นราม"

ผมตามหาจำเลยที่2 จนพบ เดินเข้าไปคุยคนเดียวในพื้นที่บ้านแก นั่งตะบันมากอยู่ ส่วนทนายที มันคอยถ่ายรูปและสังเกตุการณ์อยู่ข้างนอก ผมคุยกะแกไม่รู้เรื่องเพราะหูแกเริ่มตึงตามประสาคนแก่ แต่ก็ยังได้คุยกะลูกสาวแก(อายุน่าจะเกือบ50) ลูกอีกคนที่ไม่ใช่จำเลยที่1 แต่ไร้ผล...มาคุยหนี้ มาทวงหนี้ ไม่มีใครอยากรับฟัง แม้มันจะเป็นหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้นข้อสรุปจากการคุยเรื่องหนี้นี้ไม่มีใครเคลียร์

แต่ผมกับทนายทีซึ่งคอยสังเกตุการณ์ไม่กลับกันมือเปล่าแน่ ข้อมูลที่ได้เพียงพอจะทำให้มั่นใจได้ว่าจำเลยที่2 แกมีกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งคือบ้านหลังที่ผมไปกันมาแน่ ซึ่งแน่นอนรุ่งขึ้น (เมื่อคืนตามหาแกจนกลับเข้าตัวเมืองจนเกือบมืด) ผมไปสนง.ที่ดิน อ.วังทอง ขอข้อมูลตรวจกรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินของจำเลย ซึ่งก็พบว่ายายแกมีกรรมสิทธิ์ที่ดินถือครองอยู่จริงๆ (ความไม่เจริญบอกเลย สมัยนั้น สนง.ที่ดิน อ.วังทอง ยังไม่มีแม้แต่เครื่องถ่ายเอกสาร ต้องแอบเอาโฉนดไปถ่ายเอกสารที่ร้านของเอกชนด้านนอก)

ตอนนั้นผมกับทนายที ยังไม่ได้ทำการยึดที่ดินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เพราะเทคนิคทางกฎหมาย
และหลังจากนั้นไม่นานทนายทีมันก็ทิ้งผมไปแสวงหาความก้าวหน้าที่บริษัทอื่นแทน
ส่วนผมก็ต้องเข้ามานั่งทำงานประจำในบริษัท โดยที่ยังไม่ได้ยึดทรัพย์คดีนี้ให้เสร็จสิ้น และผมก็ไม่ได้ลงพื้นที่เสี่ยงอันตรายอีก

แต่ต่อมาไม่นานผมก็มีลูกน้อง จัดการให้ไปยึดทรัพย์คดีนี้ให้สำเร็จอีกครั้ง ซึ่งน่าจะอีกเกือบ2ปีหลังจากที่ผมไป
แต่คราวนี้การที่ลูกน้องผมไปที่"ท่าหมื่นราม"อีกถึงได้รู้ว่ายายแก(จำเลยที่2)ได้ยกที่ดินให้ลูกสาวไปแล้ว(ลูกสาวคนที่ผมเข้าไปคุยด้วย) ซึ่งแน่นอนมันเลยเป็นเหตุติดขัดทำให้ลูกน้องผมยึดทรัพย์จำเลยไม่ได้อีก

และก็แน่นอนไม่ว่ายายแกจะยกที่ดินให้ลูกด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ในสายตาเจ้าหนี้อย่างผมถือว่า โกงกันชัดๆ
แล้วก็แน่นอน ต้องมีการไปครั้งที่สาม
แต่ครั้งนี้เราไปแจ้งความดำเนินคดีอาญายายแก
ที่ สภอ.วังทอง(สมัยนั้น) ในความผิดฐาน"โกงเจ้าหนี้"

ซึ่งแน่นอนภายหลังแจ้งความ พนักงานสอบสวนก็ทำตามหน้าที่และขั้นตอนไป กว่าจะฟ้องศาลก็อีกเกือบ1ปี ระหว่างนั้นลูกหลานก็โทรมาด่าผมเละเทะ และตลอดๆ ซึ่งมักจะเกิดทุกครั้งที่พนักงานสอบสวนเรียกยากแกไปพบ  แต่ผมก็จะอดทนคุยนำเข้าสู่เกมส์เจรจาการเคลียร์หนี้สินเท่านั้น แต่ลูก(จำเลยที่1และลูกสาวที่รับโอนที่ดิน)ไม่มีใครยอมจ่ายหนี้ซักคน (แม้จะเอ่ยคำว่าขอผ่อนชำระก็ไม่เคยมี) คอยแต่พายายอายุเกือบ80 ไปพบพนักงานสอบสวนเท่านั้น

จนการไปครั้งที่4 ตำรวจส่งเรื่องให้อัยการและส่งฟ้อง ผมต้องส่งคนไปศาลพิษณุโลกอีก ในฐานะผู้เสียหาย ซึ่งการเจรจาที่ศาลผลเหมือนเดิม คือไม่มีใครยอมจ่ายหนี้ ส่วนยายแกก็ป่วยตรอมใจที่ถูกดำเนินคดีมาตลอด มาที่ศาลก็ป่วยจะแย่ แต่ลูกก็ยังแค่พามาให้ศาลเห็นใจ ทนายฝ่ายผมที่ไปในครั้งที่4 ก็แทบจะกลับมาขอความเห็นใจบริษัทฯ แทนจำเลยให้ยกหนี้ให้ยายแกด้วยความสงสาร

แต่แล้วจุดแตกหักมั่นเริ่มเกิดขึ้นอีก เมื่อไอ้จำเลยที่1 โทรศัพท์มาข่มขู่ผม ว่าถ้าแม่มันตรอมใจมาก และถ้าแม่มันเป็นอะไรไปมันจะฆ่าผม ซึ่งแน่นอน ผมไม่ยอมมันอยู่แล้วก็ด่ามันกลับไป เพราะถ้าแม่มันตายมันไม่ใช่ความผิดของผม แต่เกิดจากไอ้จำเลยที่1นี่ล่ะ ที่มันไม่เคยยอมรับผิดอะไรซักอย่าง และไม่ยอมจ่ายหนี้ ซึ่งผมก็ด่ามันตามนี้จริงๆ

#บทสุดท้าย คดีนี้อีกไม่นานต่อมา ยายแกก็เสียชีวิต ไม่ว่าด้วยโรคชราหรือว่าตรอมใจก็ไม่ทราบ คดีอาญาก็เป็นอันระงับไปเพราะผลทางกฎหมาย ซึ่งบริษัทก็ไม่ได้ถอนคำร้องทุกข์ให้แต่อย่างใด
ส่วนหนี้คดีแพ่งประมาณ7-8หมื่นก็ได้คืน เพราะหลังจากยายแกเสียไป จำเลยที่1กับลูกสาวยายแกคนที่รับโอนที่ไปก็รวมเงินกันมาจ่ายจนครบหนี้
สาเหตุก็เพราะคงสำนึกผิดในบาปที่เพิกเฉยกัน จนทำให้แม่ตาย
และยายแกคงสั่งเสียไว้ด้วยว่าให้จ่ายหนี้จ่ายสินให้หมด

และนี่คือ"ท่าหมื่นราม"ในความทรงจำ